บทความโดย กรวรรณ คำกรเกตุ และอุนิษา เลิศโตมรสกุล
เด็กและเยาวชน เป็นช่วงวัยสำคัญที่จะเจริญเติบโตและพัฒนามาเป็นอนาคตของชาติ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมกลับ พบว่า มีอัตรา “เด็กและเยาวชนกระทำความผิดในอัตราที่สูงขึ้น” จากข้อมูลสถิติรายงานจำนวนคดีเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี พ.ศ. 2562 ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พบว่า มีจำนวนเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดและถูกจับกุม จำนวน 20,003 คดี
ฐานความผิด | คดีที่สามารถจับกุมได้ | ร้อยละ |
1. ฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย | 2,080 คดี | 10.4 |
2. ฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ | 2,620 คดี | 13.1 |
3. ฐานความผิดเกี่ยวกับเพศ | 880 คดี | 4.4 |
4. ฐานความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย – ยาเสพติด – อาวุธ และวัตถุระเบิด | 10,082 คดี 860 คดี | 50.4 4.3 |
5. ฐานความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขเสรีภาพ ชื่อเสียงและการปกครอง | 500 คดี | 2.5 |
หากกล่าวถึง “เด็กและเยาวชนในฐานะเป็นผู้ประกอบอาชญากรรมหรือผู้กระทำผิด” การกระทำผิดอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัจจัยทางกายภาพ-ทางสังคม-ทางจิต ที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ “ปัจจัยทางจิต” ส่วนที่เหลือเป็นปัจจัยเสริม นอกจากนี้เด็กและเยาวชนยังเป็น “ช่วงวัยที่อยู่ในความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม” โดยมีลักษณะใหญ่ ๆ ประกอบด้วย
1. การเป็นเหยื่อโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
2. การเป็นเหยื่อโดยมีส่วนยั่วยุหรือจูงใจให้เกิดอาชญากรรม
3. การเป็นเหยื่ออาชญากรรมของตนเอง
แนวคิดที่สามารถนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ในการป้องกันอาชญากรรมได้
- แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องทางอาชญาวิทยาในการป้องกันการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน : ทฤษฎีความผูกพันทางสังคม (Social Bonding Theory) ของ ทราวิชเฮอร์ชิ (Hirschi’s, 1993) โดยมีสมมุติฐานว่า “บุคคลที่มีพันธะทางสังคมหรือมีความผูกพันทางสังคมน้อย จะมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมอาชญากรรม” จากตัวอย่างงานศึกษาวิจัยพบว่า เด็กและเยาวชนที่มีความรู้สึกผูกพันหรือเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษา ครอบครัว กลุ่มเพื่อน และระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม จะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่ทำให้เด็กและเยาวชนไม่ไปกระทำความผิด ด้วยสภาวะที่มีความรู้สึกและตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตนเองอยู่
- แนวคิดหรือหลักการในการปฏิบัติกับเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นแนวทางการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ : ทฤษฎีระบบ (System Theory) ประกอบด้วย 3 สำคัญ คือ ข้อมูลนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลงาน (Output) หรือผลผลิต (Product)
ซึ่งจะนำมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) เพื่อให้สามารถเข้าถึงปัญหา แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยความถูกต้อง เหมาะสม รวดเร็ว และดำเนินการเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนเป็นพลเมืองดีของสังคม
การป้องกันกระทำผิดของเด็กและเยาวชนและการป้องกันตนเองจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมในสังคม
กระบวนการในการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กและเยาวชน ควรมองผ่านรูปแบบของทฤษฎีระบบ เพื่อเป็นตัวกำหนดแนวทางการนำแนวทางไปสู่การปฏิบัติ และการเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) จะต้องคำนึงถึงปัจจัย 4 ประการที่สำคัญ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยครอบครัว ปัจจัยสถาบันการศึกษา และปัจจัยทางด้านชุมชน/สังคม ด้วยการผสมผสานแนวคิดของความผูกพันทางสังคม (Social Bonding) ในการกำหนดแนวทางเพื่อนำไปสู่แนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนที่เหมาะสมตามบริบทของชุมชน/สังคมของประเทศไทย ซึ่งการนำหลักการไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีนั้น ผู้ศึกษามองว่า “สถาบันการศึกษา/โรงเรียน” เป็นสถาบันหลักสำคัญในช่วงวัยของเด็กและเยาวชน เพราะเป็นสถาบันที่มีหน้าที่ในการหล่อหลอม ขัดเกลา และให้ความรู้เพื่อให้ เด็กและเยาวชนเป็นคนดีและเป็นอนาคตที่ดีของชาติ ขับเคลื่อนแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กและเยาวชนไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง และต้องดำเนินความร่วมมือหรือการบูรณาการจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานอิสระต่าง ๆ ด้วย
วารสารคุณภาพชีวิตกับนักกฎหมาย ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2564 ISSN 1686-9443 (หน้า 1-16)