อัตราดอกเบี้ยเป็นความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ใช่หรือไม่?
จากปัญหาทางสภาพเศรษฐกิจในประเทศช่วงที่ผ่านมา และสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบ ต่อภาคเศรษฐกิจไม่น้อย ประชาชนจำนวนมากมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะภาคธุรกิจหรือประชาชนทั่วไปต่างก็ต้องรับภาระหนี้สินที่มากขึ้น และจากอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ในปัจจุบันยิ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
แก้ไขกฎหมายใหม่…ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ อย่างไร
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราหรือวิธีการที่ก่อให้เกิดภาระแก่ลูกหนี้สูงเกินสมควร
สาระสำคัญ
- (1)หากไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในนิติกรรมให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนทุก 3 ปี ให้ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์
- (2)อัตราดอกเบี้ยผิดนัด ปรับเป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่ม ร้อยละ 2 ต่อปี
- (3)กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัด ได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช้บังคับกับหนี้ที่ถึงกำหนดชำระนับตั้งแต่วันที่กฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับแล้วเท่านั้น ซึ่งก็คือวันที่ 11 เมษายน 2564 ดังนั้น หนี้ที่ถึงกำหนดชำระก่อนหน้านั้น ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเดิม
ผลดีต่อลูกหนี้
ในกรณีผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัด หรือการคิดคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดเมื่อต้องผ่อนส่งเป็นงวด เพราะแม้ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้สูง จะเป็นเครื่องมือช่วยให้ลูกหนี้มีวินัยในการชำระหนี้ แต่กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเนื่องด้วยเหตุปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ภาระหนี้สินในส่วนดอกเบี้ยที่สูงจะยิ่งเพิ่มภาระให้แก่ลูกหนี้อย่าง ไม่เป็นธรรม ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้ลูกหนี้ผิดนัดเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาคืนเจ้าหนี้ได้ทัน อีกทั้งเจ้าหนี้บางราย อาจใช้การประวิงเวลาการฟ้องคดีเพื่อให้ได้เงินจำนวนมากขึ้นจากดอกเบี้ยดังกล่าวอีกด้วย
แต่ปัญหาหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่เคยมีอยู่ และยังไม่มีการแก้ไขคือ ปัญหาเรื่องของเพดานอัตราดอกเบี้ยผิดนัด
อัตราดอกเบี้ยผิดนัด
กฎหมายกำหนดเพียงว่า “หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนด… ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ย ได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น…”
ดังนั้น ถ้าตีความกันตรง ๆ จึงหมายความว่า เจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงเพียงใดก็ได้ ซึ่งเท่ากับว่า จะไม่เป็นการบรรเทาภาระหนี้สินของลูกหนี้ตามวัตถุประสงค์ของการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้เท่าใดนัก
ที่ผ่านมา แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือการตีความว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วน เป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลสามารถปรับลดลงได้ตามที่เห็นสมควร หรือการตีความให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วน ตกเป็นโมฆะและให้บังคับใช้ได้เฉพาะส่วนที่ไม่สูงเกินส่วน ด้วยเหตุผลว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในลักษณะดังกล่าวนั้นขัดต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ก็มีประเด็นปัญหาในตัวเอง ได้แก่ การที่จะต้องมีการดำเนินคดีทางศาล ซึ่งอาจต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีความ ไม่แน่นอนเพราะขึ้นกับดุลพินิจของศาลอีกด้วย
แนวทางการกำหนดเพดานดอกเบี้ยผิดนัด
ควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ว่าจะไม่เป็นภาระต่อลูกหนี้จนเกินพอดี ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อตัวลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพราะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาหนี้เสียที่มีสาเหตุจากภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปรับที่สูงขึ้นเกินกำลังของลูกหนี้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้นั้น ควรสะท้อนต้นทุนความเสี่ยงของลูกหนี้ ต้นทุนค่าเสียโอกาสของเจ้าหนี้จากการที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และต้องสะท้อนความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนี้ด้วย
ดังนั้นแล้ว ก็ได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่า จะมีการแก้ไขกฎหมายโดยพิจารณาเรื่องของเพดานสำหรับดอกเบี้ยผิดนัดไว้ด้วย
บทความโดย ผศ.ณิชนันท์ คุปตานนท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652429