ค้นหา

บันดาลโทสะ ไม่ใช่ข้ออ้างการทำผิดกฎหมาย

การบันดาลโทสะเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ทุกคนอาจเคยประสบ แต่การควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ พฤติกรรมที่ไม่ควรทำเมื่อโกรธ ได้แก่:

หลักเกณฑ์ตามกฎหมาย

  1. ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
  2. การถูกข่มเหงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทำบันดาลโทสะ
  3. ผู้กระทำได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะบันดาลโทสะ

การข่มเหง หมายถึง รังแก แกล้ง หรือทำให้รู้สึกอับอาย หรือข่มเหงน้ำใจ การข่มเหงเป็นการกระทำของผู้เสียหายเอง และเป็นการกระทำของผู้เสียหายฝ่ายเดียว เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายต้องรับผิดชอบฝ่ายเดียว

การข่มเหงต้องเป็นเรื่องร้ายแรง ซึ่งปัญหาว่าร้ายแรงหรือไม่ ถือตามความรู้สึกของวิญญูชน แม้การกระทำนั้นจะไม่ถึงขนาดกระทำผิดกฎหมายก็ตาม แต่ถ้าวิญญูชน คือ คนทั่วๆไปที่มีฐานะอย่างเดียวกับผู้กระทำผิดมีความรู้สึกโกรธก็ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เช่น สามีหรือภริยามีชู้ สังคมไทยถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง

การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ผู้กระทำความผิดจะต้องกระทำความผิดเพราะความโกรธที่มาจากการข่มเหง และต้องกระทำความผิด ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แต่ถ้าการข่มเหงขาดตอนไปแล้ว ควรหมดโทสะได้แล้ว หากไปกระทำผิดต่อผู้นั้นอาจจะเพื่อแก้แค้น ดังนี้ ก็อ้างบันดาลโทสะไม่ได้

การกระทำความผิดในขณะบันดาลโทสะ แม้จะเกิดจากการถูกยั่วยุหรือถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมาย เพียงแต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการลดโทษให้เบาลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

สิ่งสำคัญคือการรู้จักควบคุมอารมณ์และใช้สติในการแก้ไขปัญหา หากรู้สึกโกรธ ควรหาวิธีระบายอารมณ์ในทางที่เหมาะสม เช่น การหายใจลึกๆ การเดินออกจากสถานการณ์ หรือการปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำที่อาจนำไปสู่ผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น

“คิดสักนิด ก่อนทำผิด ใช้สิทธิบันดาลโทสะ” เป็นคำเตือนใจที่ทุกคนควรตระหนักถึง เพราะผลของการกระทำในขณะโกรธอาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้

อ้างอิง : ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72