การหมั้น เป็นการตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย (คู่หมั้น) ว่าจะมีการแต่งงานเกิดขึ้นในอนาคต โดยการหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อ ฝ่ายผู้หมั้นส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่ผู้รับหมั้น ต่อมาหากภายหลังการหมั้น คู่หมั้นอาจมีเหตุบางอย่าง ที่เป็นปรปักษ์จนไม่สามารถแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่กันในอนาคตได้ จึงตกลงบอกเลิกสัญญาหมั้นกัน (เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใด ผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายผู้รับหมั้นเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายผู้หมั้น)
สิทธิการบอกเลิกสัญญาหมั้น มีกรณีไหนบ้าง
1. หมั้นแล้ว ถ้าไม่มีการแต่งงาน โดยมีเหตุสำคัญที่เกิดกับผู้รับหมั้น หรือมีพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรหรือไม่อาจแต่งงานกับผู้รับหมั้นนั้นได้ = ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนได้ (มาตรา 1437 วรรค 3)
2. มีเหตุสำคัญที่เกิดกับผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรแต่งงานกับผู้รับหมั้น = ผู้หมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้ผู้รับหมั้นคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้น (มาตรา 1442)
3. มีเหตุสำคัญที่เกิดกับผู้หมั้น ทำให้ผู้รับหมั้นไม่สมควรแต่งงานกับผู้หมั้น = ผู้รับหมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้น (มาตรา 1443)
4. มีการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นซึ่งได้กระทำภายหลังการหมั้น = คู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน เสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น (มาตรา 1444)
5. มีผู้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน หรือผู้ที่กระทำกับคู่หมั้นของตน เพื่อสนองความใคร่ของผู้นั้นหรือคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น = เรียกค่าทดแทนจากผู้ร่วมประเวณีฯ ได้ เมื่อบอกเลิกสัญญาหมั้นแล้ว ตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี (มาตรา 1445)
ตัวอย่างการขอคืนของหมั้น
เหตุที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน เกิดจากการที่ฝ่ายหญิง ไม่สนับสนุนการทำมาหาได้/ประกอบอาชีพ ประพฤติตนขี้เกียจ จึงเกิดการสมัครใจบอกเลิกสัญญาหมั้น ดังนั้น เมื่อการบอกเลิกสัญญาหมั้น เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และการที่ฝ่ายหญิงไม่ตื่นไปช่วยรดน้ำข้าวโพด ไม่ใช่เหตุสำคัญอันเกิดแก่ฝ่ายหญิงผู้รับหมั้น ไม่ถึงขนาดทำให้ฝ่ายหญิงไม่สมควรแต่งงานกับฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงผู้รับหมั้นจึงไม่ต้องคืนของหมั้น

ข้อควรรู้ : สิทธิเรียกคืนของหมั้นตามมาตรา 1442 มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ได้บอกเลิกสัญญาหมั้น (มาตรา 1447/2 วรรคสอง)