การฝากขังเป็นมาตรการทางกฎหมายที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นการควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวนดำเนินคดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตาม การฝากขังต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาควบคู่ไปกับการอำนวยความยุติธรรม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานสอบสวนมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้เพียง 48 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นและมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาต่อไป พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตฝากขัง
กฎหมายได้กำหนดระยะเวลาการฝากขังไว้แตกต่างกันตามความร้ายแรงของความผิด ดังนี้ :
- กรณีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท สามารถฝากขังได้ไม่เกิน 7 วัน
- กรณีอัตราโทษจำคุกอย่างสูง 6 เดือนแต่ไม่เกิน 10 ปี หรือปรับมากกว่า 500 บาท สามารถฝากขังได้ไม่เกิน 48 วัน
- กรณีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถฝากขังได้ไม่เกิน 84 วัน

ในยุคดิจิทัล กระบวนการยุติธรรมได้มีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวก โดยเฉพาะการฝากขังครั้งที่ 2 เป็นต้นไป สามารถดำเนินการผ่านระบบ Video Conference ได้ ซึ่งช่วยลดภาระในการนำตัวผู้ต้องหาไปศาล และยังเป็นการลดความเสี่ยงในการหลบหนีระหว่างการนำตัว อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจฝากขังต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญหลายประการ:
- หลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) ผู้ต้องหายังไม่ใช่ผู้กระทำความผิดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
- หลักความได้สัดส่วน (Proportionality) การฝากขังต้องมีความจำเป็นและเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดี
- หลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
- สิทธิในการต่อสู้คดี ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายและมีทนายความ
เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลต้องไต่สวนให้ได้ความว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องฝากขังผู้ต้องหาต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาจาก:
- ความจำเป็นในการสอบสวนต่อ
- พยานหลักฐานที่รวบรวมได้
- พฤติการณ์แห่งคดี
- ความร้ายแรงของความผิด
- โอกาสที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ที่มา : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา