ค้นหา

7 แชร์ยอดฮิตที่โปลิสไล่ตาม

1.แอบอ้างชื่อผู้มีอิทธิพล

       รูปแบบที่ 1 ที่จะทำให้ได้ “เหยื่อ” แนบเนียนที่สุด คือ การแอบอ้างชื่อผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล เพราะมีชื่อเสียง เชื่อว่าสามารถเอื้อประโยชน์กับคนใดคนหนึ่งได้ ทำให้คนตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อได้โดยง่าย เพราะคาดหวังในโอกาสของความร่ำรวยจากอำนาจของบุคคลเหล่านั้น ตัวอย่างที่พบล่าสุดคือ เช่นการแอบอ้างนายกฯ มีการตั้งแชร์ลูกโซ่ระดมทุนชาวบ้าน เพื่อตั้งบริษัทรับเหมา แอบอ้างลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ โน้มน้าวว่าลงทุนมากจะได้ส่วนแบ่งมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พบความผิดปกติของการยื่นตั้งบริษัทใหม่สูงที่สุดในรอบปี (17%) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

       ปัจจุบันอยู่ระหว่างลงพื้นที่ และประสานงานผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป 

2.ใช้โซเชียลมีเดียล่อเหยื่อนักศึกษา

       รูปแบบที่ 2จะเล็งกลุ่มนักศึกษาเป็นเป้าหมาย แม้จะไม่มีเงินเดือน แต่ก็เป็นกลุ่มที่หลงเชื่อง่าย ไม่มีประสบการณ์มากนัก อยากสบาย และเชื่อใจคน ทำให้เข้ามาเป็นเหยื่อได้โดยง่าย วิธีการจะชักชวนในลักษณะใช้คนในกลุ่มเพื่อนเฟซบุ๊ก รุ่นพี่ที่เป็นไอดอล แชร์ข้อมูลรายได้ และยืนยันว่าไม่หลอกลวง ได้ผลตอบแทนจริง โชว์ความเป็นอยู่ที่หรูหรารายได้ดี ท่องเที่ยวต่างประเทศ

       ลักษณะธุรกิจจะมีผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสำอาง วิตามิน อาหารเสริมเพื่อความงาม น้ำมันหอมระเหย และมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าไปตามกระแสความนิยม แต่ไม่เน้นการขาย เน้นให้มีการจ่ายค่าสมาชิกซึ่งมีตั้งแต่ 3,000 – 20,000 บาท และให้หาสมาชิกเพิ่ม รับประกันได้เงินคืน 150% จากค่าสมาชิก เมื่อหาสมาชิกใหม่ได้ 2 คน เช่นเดียวกับการหาดาวน์ไลน์ของธุรกิจ ในรูปแบบMLM การโฆษณาผลตอบแทน โชว์ตัวเลขรายได้ในสมุดบัญชี การเขียนเชียร์ มีกระจายอยู่ทั่วไปตามโซเชียลมีเดีย และชุมชนออนไลน์ต่างๆ เพื่อความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการขยายของธุรกิจอย่างง่ายดาย

3.ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งดึงดูด

       สำหรับรูปแบบที่ 3 จะเน้นไปที่กลุ่มคนทำงานที่ใช้สื่อออนไลน์ในชีวิตประจำวัน มักจะหลงกลตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่รูปแบบใหม่นี้ โดยการเข้าถึงจะใช้วิธีการเชิญชวนผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียให้คนมาร่วมลงทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนต่อในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ โดยการล่อเหยื่อนั้นจะมีการเสนอให้เห็นถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งจะมีทั้งการจ่ายเงินปันผลเข้าในบัญชีการลงทุนทุกเดือน อัตราขั้นต่ำ 2-10% ต่อเดือน

4.ใช้สินค้าเกษตรเป็นตัวล่อ  

       รูปแบบที่ 4 จะล่อเหยื่อให้ลงทุนกองทุนสินค้าเกษตร ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่ปัจจุบันเป็นการเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และใช้การคืนเงินบางส่วนในระยะแรกๆ เช่นคืนผลตอบแทนถึง 5% ต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผู้ลงทุนวางใจว่าได้รับผลตอบแทนจริง โดยเข้าใจว่าเป็นดอกเบี้ย และชักชวนผู้อื่นมาลงทุนด้วย เพราะเห็นประโยชน์จากผลตอบแทน เมื่อมีการลงทุนมากขึ้น กองทุนนั้นก็ปิดตัวลง ไม่มีผู้รับผิดชอบ สร้างความเดือดร้อนในการติดตามและดำเนินคดี

5.ขายฝันระดมทุนตั้งบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์

       ส่วนรูปแบบที่ 5 จะเข้ามาในลักษณะบริษัทข้ามชาติจากประเทศจีน และมาเลเซีย ด้วยการวางแผนธุรกิจระดมทุนขั้นต่ำ 6,000 บาท โดยให้สิทธิในการถือหุ้นในบริษัท และอาจมีสินค้าที่จำหน่าย ซึ่งสมาชิกสามารถซื้อได้ในราคาถูก แต่เป้าหมายที่นำมาชวนเชื่อคือการขายฝันว่าบริษัทมีแผนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากพอ เช่นจำนวนถึงแสน เป็นที่มาให้สมาชิกพากันชักชวนเพื่อนฝูงเข้ามาร่วมทุน โดยมีความคิดว่าจะมีส่วนในหุ้นของบริษัท  

       สุดท้ายก็เป็นลักษณะบริษัทปิดตัวลง ติดตามเงินลงทุนไม่ได้ หุ้นบริษัทไม่มีมูลค่าใดๆ ตามที่อ้างอิง

6.ผลิตภัณฑ์อวดอ้างสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค

       ขบวนการแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบที่ 6 จะระบาดไม่รู้จบในพื้นที่ต่างจังหวัดของประเทศ โดยสามารถหลอกลวงเงินของชาวบ้านไปได้เป็นจำนวนมาก จากการใช้ความเจ็บป่วยมาเป็นเครื่องมือหลอกเหยื่อให้หลงเชื่อ วิธีการคือเริ่มจากผลิตภัณฑ์รักษาโรคและแอบอ้างว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้จริง ทำให้ผู้ป่วยหลงเชื่อซื้อมาทดลอง ในช่วงแรกที่มีคนหลงเชื่อก็จะสร้างแรงจูงใจในการซื้อ และสร้างกลุ่มสมาชิกลงทุนจำหน่าย เพราะโฆษณาว่าขายดี ได้รับผลตอบแทนมาก ซึ่งในตัวยาเองอาจมียาอันตรายอยู่ด้วย ทำให้ทั้งเสียทรัพย์สิน และอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

ปัจจุบันขบวนการดังกล่าวก็ยังคงระบาดอยู่ในต่างจังหวัด แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นผลิตภัณฑ์หอมระเหยที่แก้สารพัดโรคได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าแก๊งเหล่านี้เป็นที่จับตาของตำรวจและเภสัชกรในพื้นที่ เพียงแต่ยังไม่สามารถจับกุมได้เพราะยังไม่มีเจ้าทุกข์หรือผู้เสียหายมาแจ้งความ

7.ใช้การทำบุญบังหน้า ได้ทั้งบุญและเงินกลับมา

       ขบวนการต้มตุ๋นแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบที่ 7 จะใช้วิธีการอ้างอิงศาสนาและการทำบุญ ที่มีผลตอบแทนสูงช่วยจูงใจ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้มีประกาศเชิญชวนให้คนมาร่วมทำบุญสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และใช้เงินในการก่อสร้างสูงถึงหลักแสนล้านบาท เชิญชวนให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ3 หมื่นบาทและจะได้คืน 1 แสนบาท วิธีการเพื่อทำให้คนเชื่อถือ และให้คนมาร่วมทำบุญกันมากเพื่อให้ได้เงินตามที่คาดหวังนั้น ใช้การติดป้ายโฆษณาในจังหวัดแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และคนมีชื่อเสียงในพื้นที่นั้นว่าได้ร่วมทำบุญบางส่วนมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาท

ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ซับซ้อนยากดำเนินคดี

       แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับSpecial Scoop ว่า ความผิดของแชร์ลูกโซ่เป็น 1ใน 25 คดีอาญาฟอกเงิน ที่รัฐกำลังเร่งกวาดล้างบริษัทที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง แต่ที่จับได้นั้นมีบริษัทใหญ่ไม่กี่แห่ง ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจที่ซับซ้อนขึ้นบริษัทเหล่านี้ขยันเปลี่ยนรูปแบบ นำสินค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ และใช้วิธีการนำเงินมาล่อในแบบต่างๆ ทำให้ป้องกันลำบาก ต่อให้เข้มงวดอย่างไร ตำรวจก็ยังทำงานยากอยู่ดี และที่สำคัญคือขั้นตอนการดำเนินการคดี ซึ่งการจับกุมไม่สามารถทำได้ในทันที ต้องมีผู้เสียหายร้องให้ดำเนินคดี และแม้จะมีผู้แจ้งความแล้วก็ตาม การที่จะเอาความผิดได้นั้น ตำรวจก็ต้องสืบสวน สอบสวนรวบรวมหลักฐาน จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าคดีจะถึงที่สุดรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหลายหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (สศก.) ก็อาจเกิดปัญหาความไม่ชัดเจนในการทำงานได้เช่นกัน

ไม่อยากเป็นเหยื่อ เช็ก “สคบ.”

       แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบต่างๆ ได้ โดยสามารถสอบถามข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อตรวจสอบตั้งแต่ต้นน้ำว่าบริษัทนี้มีแผนธุรกิจที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ หากไม่ใช่บริษัททำธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่ การจัดหาสมาชิกต้องไม่มีค่าตอบแทน และข้อมูลของสินค้าต้องมีความชัดเจน

       รวมทั้งแสดงข้อมูลของช่องทางการจำหน่ายสินค้า ซึ่งหากจดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรง ก็จะมีคณะกรรมการ และเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากมีการกระทำความผิด จะถูกยกเลิกการจดทะเบียนทันที

       อย่างไรก็ดี การขึ้นทะเบียนที่ถูกต้องจะช่วยให้ผู้บริโภคและผู้ลงทุนมีความมั่นใจได้ระดับหนึ่ง แต่ก็อาจเป็นเหรียญสองด้านให้บริษัทแชร์ลูกโซ่นำมาเป็นเครื่องมือในการฟอกตัว สร้างภาพตบตาว่าผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐแล้ว เพื่อต่อลมหายใจ หากมีข้อสงสัยจากผู้ร้องเรียน ซึ่งบางครั้งทำให้มีบริษัทเหล่านี้เล็ดลอดออกมาทำในรูปแบบแชร์ลูกโซ่ในปัจจุบันได้เพราะยังไม่ถูกดำเนินคดีในช่วงที่ผ่านมา

       ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่ต้องใช้วิจารณญาณรู้เท่าทันกลโกง ก่อนที่จะพบหายนะดังที่เห็นเป็นข่าวมาโดยตลอด เพราะไม่มีธุรกิจใดในโลกที่ได้เงินมาโดยง่ายและรวดเร็วชั่วพริบตา

https://www.posttoday.com/notfound